Step ทำ fb ad ให้ปัง ? ( แค่บางส่วน )



Step ทำ fb ad ให้ปัง ? ( แค่บางส่วน )

1. ทำเนื้อหาให้แข็งแรง น่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นภาพ หรือ วีดิโอ

เช่น การทดสอบสินค้า หรือ สัมภาษณ์ประสบการณ์ผู้ใช้ ฯลฯ จะมีความน่าสนใจกว่าการให้นางแบบถือสินค้าแล้วบอกว่ามันดียังไง เพราะแบบนี้ ยี่ห้อไหนก็ทำกัน ซ้ำกันมากมันไม่ว้าว

ส่วนโปรดักชั่น จะถูกหรือแพง บอกไม่ได้ว่าแบบไหนจะปัง บ่อยครั้ง การนั่งรีวิวแบบบ้านๆ ก็ทำยอดขายถล่มทลายมาแล้ว

2. สืบเนื่องจากข้อ 1. ให้พยายามทำเนื้อหาที่สอดคล้องกับกฎการลงโฆษณาเฟซบุ้ก ไม่ทำเนื้อหาที่ก้ำกึ่ง เพราะต่อให้ผ่านวันนี้ ก็โดนปิดวันหน้าอีก...

3. การระบุกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เนิ่นๆ ข้อนี้เกี่ยวข้องกับข้อ 1. เช่นกัน

ถ้าคุณตั้งใจขายกลุ่มแม่บ้าน รู้ว่าจะขายให้กลุ่มนี้ตั้งแต่ก่อนจะทำรีวิว คุณก็ไปจ้างคนแนวแม่บ้าน มาเป็น reviewer หรือ จ้างไอดอล ที่กลุ่มแม่บ้านเชื่อถือ ฯลฯ เวลายิงโฆษณา ก็กรองอายุ เพศ และความสนใจแบบแม่บ้านซะ

เนื้อหาแนวแม่บ้าน ยิงไปยังกลุ่มคนที่แนวแม่บ้าน มันจะมีโอกาสปังครับ

กลับกัน ถ้าเราไม่ได้ระบุกลุ่มเป้าหมายก่อนทำรีวิวแต่แรก แล้วเผลอทำรีวิวด้วยพริตตี้ แต่อยากยิงไปยังกลุ่มแม่บ้าน อันนี้ก็สวดมนต์เอา

3. วัตถุประสงค์การลงโฆษณา สำหรับท่านที่ไม่ได้ทำ sale page แนะนำให้ทดสอบ 3 วัตถุประสงค์ คือ การมีส่วนร่วมกับโพสต์ และ ข้อความ และ คลิกเข้าเว็บไซต์ (ไลน์)

แต่ถ้ามี sale page แนะนำ 2 วัตถุประสงค์ คือ คลิกเข้าเว็บไซต์ ( แยก 2 แบบคือ canvas และ เว็บไซต์ ) และ conversion แต่ตัวหลังนี้ ต้องทำต่อเนื่องจาก การคลิกเข้าเว็บไซต์ จนได้ addtocart event ที่สูงเกือบร้อยยิ่งดี ถ้าตรงนี้งง ข้ามไป ขี้เกียจอธิบาย

4. แต่ละแคมเป็ญ ( เช่น วัตถุประสงค์ข้อความ ) ก็ให้ใช้การ optimized งบประมาณเอา สัก 500 บาท

แล้วใน แคมเป็ญ แยกเป็น 3 ad set ( interest ต่างกัน )

* อย่าลืมใช้ Custom Audience มาทำ LLA เพื่อหาลูกค้าด้วยนะครับ ถ้าปังก็ดี ไม่ปังก็ปิด

5. ต่อเนื่องจากข้อ 4. เขียนกฎ คุม ad set ดังนี้ ปิดเมื่อแพง, เปิดเมื่อถูก, ปิดเมื่อไม่มีผลลัพธ์, เปิดทั้งหมดเมื่อเวลา 00.00 น.

แล้วเราก็ทำแบบนี้ 4-5 แคมเป็ญ ซึ่งถ้าเราลงแคมเป็ญละ 500 บาท ต่อวันเราจะจ่ายประมาณ 2,500-3,000 บาท

7. ในส่วนนี้คือการ optimized

ปล่อยวิ่งไป 2 วัน

- ไม่มีคนทัก ต้องย้อนกลับไปดูว่า โพสต์ของเรา มีคนคอมเมนต์ หรือ แชร์ ไหม ถ้าไม่มีเลย แสดงว่าเนื้อหาไม่ว้าว ให้ปรับเนื้อหาใหม่

- มีคนทักแต่น้อย อาจจะต้องกรองว่า interest แนวไหนที่มีคนทัก แนวไหนคนไม่ทัก ก็ค่อยไป focus ในแนวที่เรา ok

และปรับข้อความบนภาพ ให้มันจูงใจมากขึ้น เช่น ของเดิมพิมพ์ว่า เซรั่มรักษาฝ้า ราคา 990 ทักเลย

แก้เป็น ออแกนเซรั่มรักษาฝ้า เข้าใจคุณยิ่งกว่าผัวเก่า สนใจทักมา

- ถ้าคนทักเยอะ แต่เกรียน ต่างด้าวเยอะ ให้แก้กลุ่มเป้าหมาย ให้มีความเป็นคนไทยชัดเจน ด้วยการระบุภาษาไทยเท่านั้น และ คัดคนที่กำลังศึกษาระดับมัธยมออก

- ถ้าคนทักเยอะแต่ไม่ซื้อ ลองดูว่าเราระบุราคาไหม ถ้าไม่ระบุราคาบนโฆษณา คนจะทักเยอะ แต่ซื้อน้อย ( ทักแล้วตายเลย )

ถ้าระบุแล้ว แต่มาถามแล้วไม่ซื้อ ก็แก้ caption ให้อธิบายเนื้อหาสินค้าให้ชัดเจนขึ้น อย่าใช้คำแนวล่อหลอกให้ทัก ล่อหลอกให้คลิก

การ optimized มีประมาณนี้ ปกติ ถ้าทำเนื้อหาดี มันจะไม่ต้อง optimized มาก

8. ได้ยอดขายระดับนึง อยากเพิ่มยอดขายอีก ให้เพิ่มเงินในงบแคมเป็ญ สูงสุดระดับ 2,000 บาทต่อแคมเป็ญ ก็พอ

แล้วคัดแคมเป็ญที่ทำกำไร ให้ได้อย่างต่ำ 5 แคมเป็ญ ยอดขายก็เพิ่มขึ้นได้ในระดับนึง

ถ้าไม่พอใจ อยากลองอัดมากกว่า 2,000 บาทต่อแคมเป็ญ ก็ลองดู ไม่เวิร์ค ก็ค่อยลด

แต่ถ้าทำทุกทางแล้วยอดขายไม่เพิ่ม

ให้เปิดบัญชีโฆษณาใหม่ ยิงเพจเดิม เพื่อเพิ่มยอดขายก็ได้ ดีเหมือนกัน

9. เมื่อมี Custom Audience สัก 5,000 คนขึ้น เช่น คนดูวีดิโอ 50% ขึ้นไป ขนาด 5,000 คน

ก็ลองยิง Retargeting ดูครับ ไม่ต้องลงเงินเยอะนะ ถ้าเราหาลูกค้าใหม่ รวม 10,000 บาท ยิง Retargeting 500-1,000 บาทก็พอ

ทั้งหมดนี้แค่บางส่วนนะครับ ถือว่าเป็นแนวทาง

โชคดีครับ
ขับเคลื่อนโดย Blogger.