เริ่มต้นการขายสินค้าด้วยการขายแบบ "ปากต่อปาก"


รู้ใช่ไหมครับว่าอดีต การตลาดมันไม่สะดวกสบายอย่างในปัจจุบัน กว่าที่จะขายสินค้าสักชิ้นนึงได้ ต้องอาศัยการเป่าประกาศจนคอแหบคอแห้งกันเลยทีเดียว

จำรถขายโอ่งได้ไหม...เคยตั้งคำถามไหมว่าทำไมต้อง รถขายโอ่ง?

เพราะคนในสมัยก่อนไม่มีรถยนต์เยอะเท่าปัจจุบัน มันไม่สะดวกเดินทางไปซื้อถึงแหล่ง ผู้ประกอบการจึงต้องเอาโอ่งขึ้นรถมาเร่ขายเองครับ เพื่อเร่งการสั่งซื้อ แต่ความคาดหวังไม่ได้อยู่ที่จำนวนโอ่งที่ขนมาหรอกนะ ความคาดหวังจริงๆ อยู่ที่การจดออเดอร์เพิ่มในเที่ยวนั้นๆ มากกว่า เพราะทันทีที่ชาวบ้านรู้ข่าว เขาจะเป่าประกาศบอกต่อกันอย่างรวดเร็วว่ารถขายโอ่งมาแล้ว...ใครจะซื้อก็รีบมาดักรอ 

จึงไม่ต้องแปลกใจ ถ้ามีรถบรรทุกบางคัน ตีรถเปล่าพร้อมเปิดเครื่องเสียงประกาศขายโอ่งไปด้วย 

หรือผงซักฟอกในอดีต จัดกิจกรรมโร้ดโชว์ในต่างจังหวัด โดยใช้ซองผงซักฟอกเป็นตั๋วเข้างาน บ้านไหนไม่ได้ใช้ยี่ห้อนี้ ก็ต้องดิ้นรนหาซื้อ บ้านไหนมีไม่พอจำนวนคนก็ต้องแย่งซื้อกับบ้านหลังแรกอีก เกิดกระแสปากต่อปากเพื่อหาซื้อสินค้ายี่ห้อเดียวเพียงชั่วข้ามวัน...

นั่นคือการขายและการตลาดในยุคบุกเบิก 

ในสมัยนี้ก็ไม่ได้ต่างกันมากครับ เพียงแต่ง่ายขึ้น เพราะมีเครื่องมือมากขึ้น มีช่องทางโฆษณาประชาสัมพันธ์มากขึ้น แต่ก็มาพร้อมๆ กับการแข่งขันที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ละแบรนด์จึงจดจ่ออยู่กับกลยุทธ์ที่สุดจะบรรเจิดพิสดารที่สุด เพื่อการอยู่เหนือคู่แข่ง

แคมเป็ญใหม่ๆ และใหญ่มาก เกิดขึ้นในทุกๆ เดือน จากแบรนด์สินค้ามากมาย ผลลัพธ์หรือความคาดหวังอาจไม่ได้อยู่ที่ยอดขายที่เพิ่มขึ้น แต่บางทีเป้าหมายอาจอยู่ที่การสยบกระแสของคู่แข่งก็ได้...นี่เองครับ ธาตุแท้ของการแข่งขันทางการตลาด

ทีนี้..แบรนด์เล็กๆ กระจอกๆ จะลืมตาอ้าปากได้อย่างไร?

คำตอบอยู่ที่อารัมภบทครับ ผมคงไม่เท้าความย้อนอดีตเพื่อความสนุกหรอกครับ...

ผมจะบอกให้เลยว่า ไม่ว่าจะยุคไหน "การตลาดแบบปากต่อปาก" (Word of Mouth) คือ สุดยอดของสุดยอดการตลาดที่ทุกแบรนด์ เล็กหรือใหญ่ หมายจะบรรลุมากที่สุด (เหมือนเรื่องเดชคำภีร์เทวดายังไงยังงั้น)

แล้วเชื่อไหมครับว่า การตลาดแบบปากต่อปากนี้เอง แบรนด์เล็กๆ สามารถเริ่มได้ง่าย และไวกว่าแบรนด์ใหญ่ๆ เสียอีก ไวแค่ไหน ก็ทันทีที่เราเปิดขายนั่นแหละครับ ไม่ต้องรั้งรอทิศทางลมฝนอะไรเลย

แต่ก่อนจะเริ่มต้น ผมอยากให้เจ้าของสินค้าหรือผู้ประกอบการ Make sure ว่าสินค้าของคุณคุณภาพมากพอ ไม่ต้องถึงก็ Champion หรอกครับ ขอให้มีจุดเด่นที่สัมผัสได้ และสอดคล้องกับราคาขาย...ก็มีหวังแล้ว 

เริ่มต้น Word of Mouth จากตัวเอง 

ผมจะจำลองว่าตัวผมเองคือเจ้าของสินค้าครีมแต้มสิวนะครับ ผมก็เริ่มต้นง่ายๆ เลย คือ ใช้มันครับ ใช้จริงๆ ใช้ให้คนเห็น จะด้วยการโพสต์ลงเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์ หรืออะไรก็แล้วแต่ เพื่อให้คนอื่นๆ ได้รับทราบแบบ Real Time จะดีมาก (จะเปิดเผยว่าเป็นสินค้าตัวเองด้วยก็ได้ แต่อย่าเน้นประกาศขายมากไป คนอื่นจะตั้งกำแพงกั้นโดยอัตโนมัติครับ)

จากนั้นก็แค่บรรยายความประทับ (First impression) การติดตามผล (Follow up) และการวัดผล (Result) 

ถ้าสินค้าเราโอเค สิวยุบ เราก็อวดเลย ไม่ต้องโม้มาก เอาพอดีๆ บอกพิกัดที่ซื้อหรือขาย แค่นี้เพื่อนๆ ที่เป็นสิวเขาจะจดจำแบรนด์ และอยากทดลองด้วยแล้วล่ะครับ

มันเป็นอะไรที่โคตรจะเบสิกมากๆๆๆ แต่การที่เราทำเพียงคนเดียวมันไม่ทำให้สินค้าขายได้หมด Lot ใช่ไหม?

ก็...ตัวแทนขายของคุณไง คุณคงไม่ได้ผลิตสินค้าขึ้นมาโดยไร้เครือข่ายนักขายหรือตัวแทนขายหรอกนะ (เพราะถ้าเป็นแบบนั้น รอเจ๊งเลย...)

สร้างทีมขายซะ แล้วสอน Tip นี้ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์แบบ 1 แตก 3 / จาก 3 แตก 9 เป็นต้น แล้วมันจะกระจายการบอกต่อไปเรื่อยๆ ของมันเอง

แม้ว่าที่ผมกล่าวมามันจะเหมือนง่าย แต่ทำแล้วยาก และอาจไม่ได้ผล แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่ต้องทำ...ใช่ไหมครับ

ผมเคยเจอเหตุการณ์นึง ตั้งใจจะอวดสินค้าลดน้ำหนักที่ผมขายให้พี่คนนึงฟัง (หวังจะขายนั่นแหละ) แค่เปรยๆ นะ ยังไม่ทันได้พูดถึงสินค้าตัวเองเลย พี่เค้าสาธยายเรื่องเพื่อนให้ฟังว่าใช้ตัวนึงอยู่ ใช้ดีมาก เพื่อนของเค้าจากอวบอ้วน กลับมาหุ่นเฟิร์มเลย แถมเอารูปให้ดู อวดยังกับเป็นสินค้าเค้าเอง...ซึ่งก็ไม่ใช่ แถมเค้าก็ไม่เคยทานด้วย !!!

เจตนาพี่เค้าแค่ต้องการแนะนำสินค้าดีๆ ให้เรารู้จักเท่านั้นเอง...จากที่จะขายสินค้า ผมเกือบจะกลายลูกซะได้...แอบเคลิ้มไปเหมือนกัน

อันนี้เรื่องจริงนะครับ เจอมากับตัว

แนะนำให้ทดลองดูครับ และอย่าย่อท้อ แบรนด์ดังๆ สมัยนี้ อดีตก็ทำมาทุกอย่างแล้วครับ เราเป็นแบรนด์เกิดใหม่ จะเกี่ยงทำไม...ลงมือซะ

ปล. ย้ำอีกทีว่า Word of Mouth สินค้าต้องคุณภาพพอตัวนะครับ ถ้าห่วยแตก ต่อให้กลยุทธ์การเข้าถึงสินค้าเลอเลิศแค่ไหนก็ไร้ความหมาย และจะกลายเป็น worst of mouth (สาดเสียเทเสีย) ก็ได้
ขับเคลื่อนโดย Blogger.