แนวคิดในการเลือกสินค้าน่าขาย

สำหรับนักขายมือใหม่...ที่ยังไม่มีสินค้า หรือยังไม่รู้ว่าจะขายสินค้าอะไรในเฟซบุ๊ก บทนี้ผมจะแนะแนวคิดในการเลือกสินค้าน่าขายให้เป็นหลักพิจารณาก่อนนะครับ



แต่ก่อนอื่นครับ ก่อนจะไปที่เรื่องสินค้า เรามาเลือกเส้นทางการขายให้ตัวเองก่อนดีกว่าไหม...ว่า วันนี้เราจะขายแบบ ได้เงินน้อยต่อชิ้นแต่ขายได้เรื่อยๆ หรือ ได้เงินเยอะมากแต่อาจขายได้นานๆ ที

ทั้ง 2 เส้นทางนี้มีวิธีคิดที่ต่างกันครับ บางคนอาจไม่อยากเหนื่อยจุกจิก ชอบแบบตบทีเดียวดังโป๊ะไปเลย แต่บางคนว่างจัด ชอบตบแป่ะๆๆๆๆๆๆ ทั้งวัน ถึงไม่แรงแต่ก็ฟินดี...

คิดว่าตัวเองชอบแบบไหน ตัดสินใจเลือกได้เลยครับ ไม่ห้าม และไม่มีคำว่าผิด มันอยู่ที่วิธีคิดของคุณครับ

“ถามว่าจำเป็นต้องเลือกไหม ส่วนตัวผมคิดว่ามีความจำเป็นทีเดียว โดยเฉพาะคนที่ทำงานประจำอยู่ นั่นเพราะความพร้อมและความถนัดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจคร่ำหวอดในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ขายของใหญ่มาโดยตลอด ถ้าวันนึงจะทำอาชีพเสริมด้วยการขายครีมแต้มสิวที่กำไรเพียงหกสิบเจ็ดสิบบาทต่อหลอด...ผมมองว่ามันไม่สอดคล้องกับจริตและพฤติกรรม เพราะคุณอาจต้องตอบคำถามยุบยิบๆๆ ทั้งวันเพื่อกำไรเพียงไม่กี่บาท แล้วถ้ามันจุกจิกมากจนส่งผลกระทบต่องานหลักล่ะ? ลองพิจารณาดูสิครับ...ว่าคุ้มไหม?

ถ้าต้องเอาเวลาว่างมาทำงานเสริม ก็ควรเป็นสิ่งที่มันสอดคล้องและมีมูลค่าเทียบเคียงงานหลักครับ จำไว้นะครับว่ายิ่งงานหลักของคุณมีมูลค่าที่สูง เวลาและการทุ่มเทของคุณก็ยิ่งมีราคาที่สูงตามด้วยเช่นกัน”


เอาล่ะ ให้เวลาไปคิดนะครับว่าจะเลือกขายแบบเล็กๆ แต่ถี่ หรือ นานๆ ทีแต่คุ้ม......กลับมาที่แนวคิดในการเลือกสินค้าน่าขาย ผมแยกไว้ให้เป็น 6 แนวคิด ซึ่งจะมีทั้ง สินค้าที่จับต้องได้ (Tangible Goods) และ สินค้าที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Goods) ใครถนัดหรือสะดวกอย่างไหน ลองอ่านและตัดสินใจเลือกดูก่อนครับ 

1. สินค้าในตลาด Need ขอให้พิจารณาคุณสมบัติ 2 ข้อดังนี้ครับ  
-  สินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ต้องซื้อซ้ำๆ เช่น น้ำหอม, ครีมดูแลผิว, อาหารเสริม, เสื้อผ้าชุดแต่งกาย ฯลฯ
-  สินค้าสำหรับแก้ไขปัญหา (อาจซื้อซ้ำหรือซื้อครั้งเดียว) เช่น ยาปลูกผม, สเปร์ยแก้กลิ่นเท้า, สมุนไพรเสริมสมรรถภาพทางเพศ, ผลิตภัณฑ์ควบคุมและลดน้ำหนัก, ครีมแต้มสิว, กระเป๋าน้ำร้อน, น้ำมันสกัดธรรมชาติแก้ปัญหาด้านผิวหนัง ฯลฯ


อาหารบำรุงสมรรถภาพบุรุษ
ทั้งนี้สินค้าจะมีข้อใดข้อนึงก็ได้ หรือมีทั้ง 2 ข้อรวมกันยิ่งดีครับ ยิ่งน่าขาย อย่างผม ขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารควบคุมน้ำหนัก เป็นสินค้าที่แก้ไขปัญหาแถมทานแล้วหมดไป หมดแล้วก็ต้องทานใหม่ ทำให้ผมมีลูกค้าเก่าที่ซื้อซ้ำอยู่บ่อยๆ คุ้มการลงแรงขายมากครับ


2. สินค้าในตลาด Want – Want หมายถึงความต้องการที่มากกว่าความจำเป็น เอาความชอบเข้าตัดสิน ส่วนใหญ่สินค้าตลาดนี้จะกำไรดีครับ เพราะราคาไม่ได้ถูกกำหนดจากความเหมาะสมด้านต้นทุน แต่ถูกกำหนดด้วยความ Want ของผู้ซื้อ แม้จะขายได้ไม่บ่อยเท่าข้อ 1 แต่ถ้าขายได้ ก็หวานลิ้นดีครับ

ตัวอย่างสินค้าตลาด Want เช่น เครื่องประดับแฟชั่นจากหินต่างๆ บางตลาดขายตามความเชื่อส่วนตัว เช่น หินทิเบต อัญมณีประจำวันเกิด ฯลฯ , เคสไอโฟนแบบพิเศษ, กระเป๋าหนังแท้แฮนเม้ด, ชุดนอนเซ็กซี่, สินค้าประดับสัตว์เลี้ยง, ของสะสมแบบ Full Set ฯลฯ


ชุดนอนเซ็กซี่
3. สินค้าตามความเชื่อ – สินค้าข้อนี้เกือบจะทับกรอบกับสินค้าตลาด Want ครับ เพียงแต่เจาะจงกลุ่มลูกค้าให้เล็กลงไปอีกและมีแรงขับในการซื้อที่สูงกว่า ดังนั้น สัดส่วนกำไรจึงสูงจนน่าตกใจ

ตัวอย่างสินค้าตามความเชื่อ เช่น เครื่องราง, พระเครื่อง, ของขวัญวันเกิดตามราศี, เสื้อผ้าคู่รัก, สินค้าพิเศษตามเทศกาล (วาเลนไทน์, ปีใหม่, ของฝากญาติผู้ใหญ่), เครื่องประดับหินทิเบต, ชานอก-นำเข้า, เครื่องประดับ-ตกแต่งบ้านตามความเชื่อทางศาสนา ฯลฯ


ชุดคู่รัก ; www.pm-sweet.com
4. ขายบริการเฉพาะอย่าง – วันนี้ถ้าคุณมีทักษะพิเศษจากการทำงานประจำหรืองานอดิเรก เช่น แปลภาษา, ตัดต่อวีดิโอ, เขียนบทความ, ทำบัญชี ฯลฯ ที่เป็นที่ต้องการของคนอื่น 

วันนี้เท่ากับคุณมีบริการเป็นของตัวเอง คุณก็สามารถใช้โมเดลการตลาดของผมหาลูกค้าได้สบายครับ (ลักษณะงาน Freelance) ตัวอย่าง สมัยผมเข้าวงการนี้แรกๆ ผมหารายได้พิเศษด้วยการเขียนบทความครับ บทความสั้นๆ คิดบทความละ 15 บาท ก็ค่อยๆ ทำในเวลาว่าง เขียนเรื่องไหนก็ได้ความรู้เรื่องนั้น ไปๆ มาๆ ก็เปิดเว็บบล็อกเอง เพื่อสร้างรายได้ต่อจากความรู้ที่เข้ามาเรื่อยๆ...พอจะเห็นแนวทางแล้วนะครับ หรือ...

5. ขาย Information Product – ข้อนี้เป็นผลผลิตหรือผลสืบเนื่องจากข้อ 4 ครับ คือ เมื่อคุณมีทักษะพิเศษคุณก็เพียงถ่ายทอดมันเป็นความรู้เฉพาะทาง ในรูปแบบ e-Book, Website, Video หรือ จัดพิมพ์ลงหนังสือเอง เพื่อจำหน่ายให้คนที่สนใจจะศึกษา แค่นี้คุณก็มีสินค้าเป็นของตัวเองแล้ว ตัวอย่างเช่น e-Book คอร์สลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัมใน 7 วัน, วีดิโอสอนรีทัชภาพด้วย PhotoShop แบบ Step by Step เป็นต้น

6. สินค้าเทคโนโลยี – ตลาดนี้มักมีความน่าตื่นตาตื่นใจเสมอครับ ส่วนใหญ่จะเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา หรือทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น แผ่นประคบร้อนไฟฟ้า (ใช้แทนถุงน้ำร้อน), กล้องวีดิโอติดรถยนต์, กล้องวงจรปิดแบบไร้สาย (ติดตั้งใช้งานผ่าน wi-fi), แบตเตอรี่มือถือสำรอง ฯลฯ สินค้าหมวดนี้มักมีต้นทุนสูง และมีปัญหาสินค้าเสียง่าย ยุ่งยากในการดูแลหลังการขาย...บางอย่างแม้ขายดีแต่อาจไม่คุ้มขายก็ได้ครับ ต้องพิจารณาดีๆ


กล้องวงจรปิดไร้สาย
***ขอเพิ่มเติมอีก 1 แนวคิด ที่ไม่เข้าคอนเซปต์ใหญ่ข้างบน แต่กลับขายได้ดีในโลกออนไลน์ คือ สินค้าของเล่น / เครื่องแต่งกายสัตว์เลี้ยง เช่น ชุดสุนัขแฟนซี หรือ คอนโดแมว


ชุดสุนัขแฟนซี
พอทราบแล้วนะครับว่า สินค้าที่น่าขาย หลักๆ มีแบบใดบ้าง สำหรับการตัดสินใจเลือกสินค้าจาก Drop Shipper เจ้าใดเจ้านึงมาขาย (จากแนวคิดข้อที่ 1 – 3) ผมอยากให้พิจารณาเงื่อนไขด้านราคาเป็นหลักครับ ดังนี้

1. กรณีสินค้าถูกกำหนดราคาขายตายตัวจาก Drop Shipper สินค้าที่คุณเลือก “ต้องมีส่วนแบ่งรายได้ขั้นต่ำ 25% ขึ้นไป"

เพราะอะไร? เพราะโมเดลการขายสินค้าในเฟสบุคที่ผมกำลังจะสอน เป็นโมเดลที่ต้องลงทุนโฆษณาครับ เท่ากับว่าต้องมีต้นทุนเกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้น ส่วนต่างที่ได้จากการขายต่อชิ้น ควรจะมากพอที่จะมาโปะต้นทุนตรงนี้ เช่น สินค้าราคาต่ำ ขายปลีก 450 ส่วนแบ่งควรจะอยู่ที่ 120 บาท (ประมาณ 25% หน่อยๆ)

หรือกรณีสินค้าราคาสูง ขายปลีก 20,000 บาท ข้อนี้ควรพิจาณาความเป็นไปได้ของตลาดด้วยนะครับ ถ้าคิดว่าขายได้ อาจพิจารณาส่วนแบ่งเป็นตัวเลขตายตัวแทน เช่น 2,000 บาท (คิดเป็น 10%ของราคาจำหน่าย) แม้ไม่ถึง 25% จากราคาขายปลีก แต่ถือว่าเอาความพึงพอใจเป็นหลักครับ เพราะโมเดลการขายที่ผมจะสอน ไม่ได้ลงทุนสูงมาก

โดยหลักการ ผมจะเน้นสอนการทำโฆษณาที่ลงทุนต่ำแต่ประสิทธิภาพสูง ดังนั้นหากการลงทุนต่ำที่ว่า อยู่ที่ระดับ 100 บาทต่อวัน ต่อให้คุณโฆษณายาว 9 วัน แล้วขายได้วันที่ 10 เพียง 1 ออเดอร์ ก็ยังถือว่ากำไรอยู่ดี (กำไรออเดอร์ละ 2,000 บาท ต่อ ต้นทุนโฆษณารวม 1,000 บาท คิดค่า ROI = 100%)

นอกจากตัวเลขกำไรควรอยู่ที่ 25% แล้ว ก่อนตัดสินใจเลือกสินค้ามาขาย ยังต้องสำรวจคู่แข่งด้วยครับ ว่าตลาดนั้นมีการแข่งขันที่สูงหรือไม่ ยกตัวอย่างการสำรวจแบบง่ายๆ สมมติว่าวันนี้เราจะขายสินค้าในเฟซบุ๊ก เราก็ควรทำการ Search หาข้อมูลคู่แข่งในเฟสบุคเลยครับ ซึ่งขอให้พิจารณาใน 2 หัวข้อ…คือ

ยี่ห้อเดียวกัน ; บางทีเจ้าของสินค้าอาจรับตัวแทนจำหน่ายจำนวนมาก จนเกิดการแข่งขันกันเอง แม้สินค้าจะชื่อเสียงโด่งดัง ดีเลิศประเสริฐศรียังไง แต่คู่แข่งเยอะก็ไม่ไหวครับ โบกมือบายๆ เลยดีกว่า

ประเภทเดียวกัน (คู่แข่งยี่ห้ออื่น) ; แม้ว่าคู่แข่งยี่ห้อเดียวกันจะน้อย และมีกำไรมากถึง 25% แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะตัดสินใจเลือกได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า คู่แข่งยี่ห้ออื่นๆ เยอะและแข็งเหลือเกิน 

คำว่าเยอะคงไม่ต้องอธิบายแล้วนะครับ...โดยปกติผมก็ไม่ค่อยกลัวจำนวนคู่แข่งยี่ห้ออื่นว่าจะมีเยอะหรอก พร้อมลุยอยู่แล้วววววว แต่กลัวคำว่า แข็ง มากกว่าครับแข็งด้านการตลาดแข็งด้านงบประมาณโฆษณาแข็งด้านคุณภาพสินค้าแข็งด้านภาพลักษณ์และชื่อเสียง......แล้วเราจะเอาอะไรไปสู้ล่ะครับลูกพี่ๆๆๆๆๆๆๆ

2. กรณีคุณเป็นคนตั้งราคาขายปลีกเอง สินค้าที่คุณขาย ต้องมีต้นทุนต่ำกว่า 50% จากราคาปลีก (แบบเฉลี่ย) ของคู่แข่งยี่ห้ออื่นในตลาดออนไลน์ เช่น

ร้านอื่นขายยาอกอึ๋มที่ราคา 900 บาท เรารับยาอกอึ๋มอีกแบรนด์มาขาย ราคาทุนที่น่าจะเป็นคือ 450 บาท (50% จากราคาปลีกของคู่แข่ง) ส่วนต่างกำไรเมื่อเทียบกัน จะได้ 450 บาท ซึ่งถือว่ามากกว่าต้นทุนของเราเท่าตัว อันนี้น่าเล่นมาก เพราะเราสามารถตั้งราคาต่ำกว่าคู่แข่งได้อีกนิด

แต่ถ้ากลับกัน คู่แข่งขายแค่ 600 แต่เรารับสินค้ามาในต้นทุน 450 ส่วนต่างจะเหลือแค่ 150 บาท ผมถือว่าไม่น่าลงทุน นั่นเพราะสินค้าที่เราสามารถกำหนดราคาขายเองได้ มักเป็นสินค้าที่ไม่เป็นที่รู้จัก ไม่มีการตลาดที่ดีนัก จึงไม่เป็นที่สนใจของลูกค้าเทียบเท่าคู่แข่ง กว่าจะขายได้แต่ละครั้งจึงต้องใช้พลังงานและเวลาค่อนข้างสูง ดังนั้น สัดส่วนกำไรควรสูงพอๆ กับต้นทุนครับ

ข้อนี้ก็ลองพิจารณาแนวโน้มตลาดอีกทีนะครับ สินค้าบางตลาดไม่แข่งขันกันมาก โอกาสขายก็จะมีบ้าง แต่ถ้าตลาดแรงๆ อย่างพวก คอลลาเจน, กลูต้าฯ, อาหารเสริมลดน้ำหนัก ฯลฯ พวกนี้ยากหน่อย ต้องพิจารณาผลตอบแทนให้ถี่ถ้วนครับ 


ทั้งหมดนี้คือหลักการล้วนๆ เลยครับ ไม่มีสูตรสำเร็จหรือชี้ช่องให้เห็นแบบจะจะ เพราะไม่งั้นคุณคงพากันเฮโลไปขายตัวเดียวหรือตลาดเดียวกันหมด พยายามใช้ไอเดีย และข้อมูลตลาดอ้างอิงให้มาก อย่ามองแค่ว่าสินค้าตัวนี้กำลังแรง กำลังขายดี หรือว่ามันน่าสนใจ มันใช้ดี...ใช้ดีอาจขายไม่ดีก็ได้นะ...

บทหน้าเจอกันที่วิธีการหาสินค้าครับ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.